พลวัตของเทคโนโลยีดิจิทัลที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สร้างความท้าทายให้กับองค์กรในการเร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ ส่งผลให้หลายองค์กรกำหนดนโยบายในการทำ Digital Transformation เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน หลายองค์กรไม่ประสบความสำเร็จในการทำ Digital Transformation เนื่องจากไม่มีความพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่มาเร็วก่อนกาล หลายองค์กรเลือกเครื่องมือทางดิจิทัลที่ไม่เหมาะสม หรือไม่ได้ใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าแท้จริง ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ไม่มีประสิทธิผล
การทำ Digital Transformation อาจไม่ได้หมายถึงการที่องค์กรจะต้องลงทุนเพื่อซื้อระบบเทคโนโลยีดิจิทัล ซื้ออุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือเพียงอย่างเดียว การนำทรัพยากรข้อมูลที่เป็นขุมทรัพย์อันล้ำค่าที่่มีอยู่แล้วในองค์กร หรือข้อมูลองค์ความรู้ เกร็ดสาระ อัปเดตเทรนด์ใหม่ ๆ ผ่านบทความที่น่าสนใจ ใน Smart Digital Insights สรรสาระแห่งเทคโนโลยี ที่จะเป็นดั่งคลังความรู้ จุดประกายให้องค์กรของท่านใช้เป็นแนวทาง เพื่อทำให้ Digital Transformation Journey ขององค์กรท่านประสบความสำเร็จลุล่วงได้ดังที่หวัง
เมื่อนำองค์ความรู้ มาผนวกรวมกับความก้าวล้ำของเทคโนโลยีดิจิทัล ผสานความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อดึงศักยภาพของเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด สร้างประสบการณ์ที่ดี และส่งมอบสินค้า บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างดีเยียม คือการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้องค์กรธุรกิจอย่างยั่งยืน
เมื่อพูดถึงการผลิตยุคใหม่ภาพที่หลายคนนึกถึงอาจจะเป็นหุ่นยนต์ 6 แกน เครื่อง CNC หรือนึกถึงสายพานอัตโนมัติ ไปจนถึงเครื่อง CMM ซึ่งก็เป็นภาพของเทคโนโลยีกายภาพที่ทุกคนจดจำได้ดี แต่ถ้าเราพูดกันถึงระบบหลังบ้านที่ทำให้เทคโนโลยีเหล่านี้ทำงานเข้าขากันได้ดี ไม่ว่าจะเป็นระบบเครือข่าย ความปลอดภัยทางไซเบอร์ การจัดเก็บข้อมูล แพลตฟอร์มออนไลน์ ไปจนถึง ซอฟต์แวร์ในการบริหารจัดการต่าง ๆ ซึ่งเรียกได้ว่ามีความซับซ้อน ละเอียดอ่อน และมูลค่าสูงไม่แพ้เทคโนโลยีกายภาพที่กล่าวถึงในตอนแรก ซึ่งเดิมทีการวางรากฐานระบบนิเวศของเทคโนโลยีดิจิทัลในการผลิตเป็นสิ่งที่มีรายละเอียดปลีกย่อยจำนวนมาก และการลงทุนก็มีความซับซ้อนตลอดจนมูลค่าที่สูง แต่ในวันนี้ด้วย 5G Ecosystem และโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะที่ AIS Business และพันธมิตรร่วมมือกันพัฒนาขึ้นมาจะช่วยเพิ่มความคล่องตัวและลดต้นทุนให้กับระบบนิเวศดิจิทัล ทำให้ทุกโรงงานที่ต้องการทำ Digital Transformation หรือเริ่มต้นใช้ระบบอัตโนมัติต่าง ๆ สามารถเกิดขึ้นได้จริงบนพื้นฐานของความคุ้มค่าและเรียบง่าย
ปัจจุบันเทรนด์การดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ไม่ได้มุ่งเน้นที่การสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และสิ่งอำนวยความสะดวกทั่วไปเหมือนในอดีต โดยศูนย์วิจัยธนาคารกรุงเทพ ได้ทำการศึกษาและพบว่า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เริ่มให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการอาคารอัจฉริยะด้วยแนวคิด Environment, Social, Governance หรือ ESG มากขึ้น ซึ่งแนวคิดนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มนักลงทุน และผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก
ตลาดอสังหาริมทรัพย์กลายเป็นที่จับตามองท่ามกลางกระแสการเติบโตอย่างเต็มที่ของเทคโนโลยี ว่าในปี 2567 เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทในธรุกิจกลุ่มนี้อย่างไร เพราะเมื่อโลกเปลี่ยน พฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนตาม ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จึงไม่อาจใช้แผนการเดิมเพื่อดึงดูดผู้บริโภคได้อีกต่อไป ความจำเป็นเร่งด่วนในเวลานี้ คือ การเร่งหาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อรองรับพฤติกรรมและความต้องการซื้อของลูกค้า
แนวโน้มของธุรกิจค้าปลีกในปี 2024 และปีต่อ ๆ ไปจะเริ่มมีความคึกคักมากขึ้น เนื่องจากคู่แข่งของธุรกิจค้าปลีก คือ E-commerce ที่มีแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ดังนั้นในปีนี้ธุรกิจค้าปลีกควรเริ่มต้นการเปลี่ยนผ่านจากการขายแบบเดิมไปสู่การขายแบบดิจิทัล เพื่อเพิ่มสัดส่วนในตลาด และรักษาลูกค้ากลุ่มเดิมเอาไว้
คลังสินค้าหรือ Warehouse นั้นถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของธุรกิจองค์กรหลายแห่งซึ่งเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจในหลายภาคส่วน ดังนั้นการบริหารจัดการ Warehouse ที่มีประสิทธิภาพ จึงมักสะท้อนผลลัพธ์ต่อความรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ และคุ้มค่าในการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการผลิต การกระจายสินค้า การขนส่ง หรือแม้แต่การให้บริการลูกค้าก็ตาม
เริ่มนับถอยหลังเข้าสู่ปี 2024 และเป็นการเริ่มต้นเปิดกล่องเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่กำลังจะออกมาพลิกโฉมวงการธุรกิจและอุตสาหกรรมของประเทศไทย โดยมีข้อมูลจากสภาหอการค้าไทยได้ระบุว่า “บริบทของเวทีโลกนับจากนี้ไป เทคโนโลยีคือสิ่งที่ควรค่าแก่การได้รับการลงทุนเพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มากกว่าที่จะปล่อยให้คงสภาพเดิม โดยเฉพาะความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI” จึงเป็นเครื่องยืนยันได้แน่นอนว่า ในปี 2024 เทรนด์เทคโนโลยี AI จะเป็นหนึ่งในหลากหลายเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้งานในธุรกิจเพื่อตอบรับความสนใจที่เป็นภาพรวมใหญ่ของเวทีโลก
จากดัชนีอาหารโลกที่แสดงให้เห็นว่า ราคาอาหารโลกยังคงมีการดีดตัวสูงขึ้นจากช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเมื่อเปรียบเทียบในช่วงเดือนกันยายนของปี 2565 กับเดือนกันยายน 2566 ราคาอาหารโลกมีความแตกต่างกันเพียง 0.8 % เท่านั้น ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 30 ปีที่ได้มีการเก็บรวบรวมสถิติมา
การเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีเพียงช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้มีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของผู้คน รวมไปถึงการดำเนินธุรกิจ ทำให้เกิดการแยกจากกันไม่ได้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และต้องยอมรับว่า เทคโนโลยีที่เติบโตขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่นี้ ได้สร้างความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก และมอบโอกาสให้ทุกธุรกิจได้ขับเคลื่อนไปข้างหน้าโดยที่ไม่ต้องใช้ต้นทุนสูง สร้างเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีความมั่นคงและทันสมัย ซึ่งถ้าหากมองในมุมกลับกัน หากบุคคลหรือธุรกิจใดไม่สามารถอยู่ร่วมกับเทคโนโลยี หรือไม่มีการปรับตัวให้เท่าทันเทคโนโลยี ก็มีความเสี่ยงที่จะล้าหลังคู่แข่งหรือผู้คนในสังคมได้ ดังนั้นเพื่อพาทุกคนร่วมเดินทางไปสู่อนาคต เรามาอัปเดตเทรนด์เทคโนโลยีปี 2024 ด้วยกันว่า ธุรกิจต่าง ๆ จะมีเทคโนโลยีใดเป็นตัวช่วยกำหนดอนาคตได้บ้าง
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อเราพูดถึงแนวคิดของ Smart Manufacturing นั้นเรามักจะนึกถึงเรื่องของการใช้เทคโนโลยีและความสามารถในการปรับปรุงประสิทธิภาพ ทำงานได้อย่างเป็นอัตโนมัติ หรือนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้เสริมกระบวนการ ผลิตภัณฑ์ และบริการกันเป็นหลัก
ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ธุรกิจ E-Commerce ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ รวมไปถึงธุรกิจคลังสินค้าได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการมากขึ้น โดยสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า หน่วยงานในกำกับของ กระทรวงพาณิชย์ ได้ระบุว่า ในเดือนกรกฎาคม 2566 มีผู้ประกอบการธุรกิจโลจิสติกส์รายใหม่เพิ่มสูงขึ้นถึง 17.9% โดยเฉพาะธุรกิจคลังสินค้าที่กลายเป็นดาวเด่นที่มีนักลงทุนให้ความสนใจและเข้าสู่สนามธุรกิจ จนกลายเป็นภาพของการแข่งขันที่มีความจริงจังมากขึ้น และเหตุผลของการปรับตัวอย่างรวดเร็วนี้ เกิดขึ้นจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ความต้องการซื้อและคำสั่งซื้อบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด อุตสาหกรรมและธุรกิจต่าง ๆ ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานนี้จึงเกิดการปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับความต้องการที่เกิดขึ้น
ประเทศไทยนับเป็นประเทศที่ได้เปรียบประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียน โดยอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของไทยกำลังกลายเป็นที่จับตามอง จากรายงานของศูนย์วิจัยธนาคารกรุงศรีอยุธยาประเมินว่า ภายในปี 2565-2567 ธุรกิจขนส่งสินค้าทางถนนของประเทศไทยจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 3-5% สอดคล้องกับสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า หน่วยงานในกำกับของ กระทรวงพาณิชย์ ที่ได้สรุปภาพรวมของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทยทั้งหมดในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ว่า ธุรกิจโลจิสติกส์ไทยมีการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น คิดเป็นมูลค่า 827.12 ล้านบาท หรือ 9.97% ของการลงทุนในประเทศ
ในช่วงปี 2565 ต่อเนื่องถึงปี 2566 ธุรกิจค้าปลีกเริ่มส่งสัญญาณของการเติบโตที่ดีขึ้น ถึงแม้ทิศทางจะมีรูปแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็นับว่าไม่ได้ตกเทรนด์ไปจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยอ้างอิงจากข้อมูลของศูนย์วิจัยธนาคารกสิกรไทย ได้คาดการณ์ว่า ในปี 2566 ธุรกิจค้าปลีกของไทยจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องประมาณ 2.8-3.6% จากปี 2565 เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่กลับมาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ภาคการผลิตและการให้บริการที่แม้ยังคงมีต้นทุนสูงอยู่ แต่ก็สามารถค่อย ๆ เติบโตไปได้
ท่ามกลางกระแสของการทำ Digital Transformation นั้น หนึ่งในภาคส่วนที่ได้รับประโยชน์อย่างสูงสุดจากการประยุกต์นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาผสานรวมนั้นก็คืออุตสาหกรรมขนส่งและ Logistics ทำให้โครงการด้านนี้กำลังได้รับความนิยมทั่วโลก และมีเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การขนส่งและโลจิสติกส์นั้นถือเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจองค์กรและอุตสาหกรรมโรงงานและการผลิตสามารถดำเนินธุรกิจและเติบโตได้อย่างมั่นคง อีกทั้งยังสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินการเพื่อเพิ่มความเร็วในการทำงานและลดค่าใช้จ่ายได้อย่างชัดเจน ส่งผลให้ภาคขนส่งและโลจิสติกส์นั้นกลายเป็นส่วนแรกๆ ในหลายธุรกิจที่มีเป้าหมายในการทำ Digital Transformation ที่มีผลลัพธ์เด่นชัด
การเติบโตอย่างฉุดไม่อยู่ของเทคโนโลยี อาจทำให้ผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกตั้งคำถามว่า จะอยู่รอดภายใต้การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้ได้อย่างไร ซึ่งคำตอบสำหรับคำถามนี้ไม่ยากเลย นั่นคือ การรู้จักมองหาโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงและริเริ่มที่จะใช้ให้เกิดประโยชน์
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในหลายมิติของอุตสาหกรรมการผลิต การเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มต้นขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเร่งตัวเองมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเพราะความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงสถานการณ์ความไม่แน่นอนในหลาย ๆ ด้านที่ส่งผลให้อุปสงค์เกิดความไม่แน่นอน ด้วยหลากหลายปัจจัยนี่เอง ที่ทำให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมการผลิตต่างตัดสินใจ Transform ธุรกิจสู่ความเป็นดิจิทัล เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันและให้เพื่อธุรกิจยืดหยุ่นต่อความต้องการของผู้บริโภคได้มากขึ้น การเปลี่ยนสู่ความเป็นดิจิทัลของภาคอุตสาหกรรมการผลิตดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง จนในวันนี้หลายองค์กรได้ยกระดับตนเองไปสู่การเป็น Smart Manufacturing อย่างเต็มตัว ถึงเวลาแล้วหรือยังที่องค์กรของคุณควรเดินหน้าสู่ Smart Manufacturing เพื่อสร้างศักยภาพใหม่ในการแข่งขันบ้าง
อุตสาหกรรมภาคการผลิตทั่วโลกต่างมุ่งเป้าก้าวสู่ยุคการผลิตอัจฉริยะ โดยเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นปัจจัยหลักที่ภาคการผลิตนำมาใช้ยกระดับภาพรวมการทำงานของอุตสาหกรรม ทั้งส่วนของเครื่องจักร กระบวนการผลิต ตลอดจนกระบวนการจัดหาวัตถุดิบผลิตภัณฑ์ แต่ด้วยความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดของเทคโนโลยีที่มีผลต่อสังคมและภาคอุตสาหกรรม จึงเป็นความท้าทายใหม่ว่า การปรับตัวและการพัฒนาจะมีความรวดเร็วและเท่าทันมากเพียงใด
อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ถือว่ากำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นดิจิทัลที่สมบูรณ์แบบ ในวันนี้องค์กรแถวหน้าในภาคอุตสาหกรรมนี้กำลังก้าวไปอีกขั้น โดยกำลังเดินหน้าเต็มกำลังไปสู่ผู้ประกอบการ Smart Logistic เพื่อให้ธุรกิจมีศักยภาพสูงขึ้น สร้างความได้เปรียบทิ้งห่างคู่แข่ง และเทคโนโลยีเบื้องหลังที่ถือเป็นกลไกสำคัญอันจะทำให้องค์กรภาคอุตสาหกรรมนี้เดินไปถึงเป้าหมายการเป็น Smart Logistic ได้สมบูรณ์แบบก็คือ เทคโนโลยี 5G และ IoT เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้การส่งและประมวลผลข้อมูลมีความสามารถมากขึ้น และการส่งผ่านข้อมูลยังปลอดภัยมากขึ้นด้วย ทำให้ภาคอุตสาหกรรมโลจิสติกส์สามารถที่จะปรับปรุงการทำงานในด้านต่าง ๆ ได้ดีมากขึ้น 5G และ IoT จะเป็นกลไกที่นำภาคอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไปสู่ Smart Logistic ได้อย่างไรมาติดตามกัน
อุตสาหกรรมการค้าปลีกมีพัฒนาการกันมาต่อเนื่องตลอดหลายทศวรรษ แต่การเปลี่ยนแปลงมีความรวดเร็วมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของ E-Commerce รวมไปถึงพฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากเดิม อีกทั้งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลก็ถือเป็นปัจจัยหลักอีกประการที่ทำให้อุตสาหกรรมการค้าปลีกมีวิวัฒนาการความล้ำหน้ามาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะเทคโนโลยี IoT มีการคาดการณ์จาก Grand View Research ว่า มูลค่าการลงทุนในเทคโนโลยี IoT ของอุตสาหกรรมการค้าปลีกจะเพิ่มสูงขึ้นไปแตะระดับ 182.04 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2028[1] จากการคาดการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า จากนี้ไป IoT จะทวีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมค้าปลีกมากขึ้นเรื่อย ๆ และจะเป็นหนึ่งกลไกสำคัญที่จะนำมาซึ่งระบบค้าปลีกอัจฉริยะ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่กำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมค้าปลีกทั่วทั้งโลก
อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกในขณะนี้กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ นั่นคือ ความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน และมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย รวมไปถึงปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ของสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนเกินคาดเดา สิ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอสังหาฯโดยตรง ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอสังหาฯ ต้องรับมือกับความไม่แน่นอนที่มาพร้อมความคาดหวังใหม่ ๆ ของผู้บริโภค จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีเครื่องมือที่เข้ามาช่วยให้การบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในปัจจุบันผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศกำลังมุ่งเน้นการลงทุนไปที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ที่สามารถเข้ามาช่วยยกระดับธุรกิจด้านอสังหาตามแนวทางของการเป็น Smart Property เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะช่วยพลิกโฉมอุตสาหกรรมอสังหาและช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถรับมือกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนได้เป็นอย่างดีมีอะไรบ้าง มาพบคำตอบกัน
จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ประกอบกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่พลิกผัน เป็นปัจจัยที่ทำให้พฤติกรรมและรูปแบบการใช้จ่ายของผู้บริโภคทั่วโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน จากเดิมที่เราต้องไปที่สาขาของธนาคาร หรือตู้เอทีเอ็ม สู่การใช้แอปพลิเคชันในรูปแบบ Mobile Banking ที่สามารถใช้งานได้ครอบคลุมทุกธุรกรรมจากที่ใดก็ได้ ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้ภาพรวมของธุรกิจอุตสาหกรรมการเงินต้องเร่งปรับตัวให้สอดรับกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ และสิ่งที่จะมาเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการเงินนับต่อจากนี้ไปก็คือ เทคโนโลยี Cloud และ AI ที่นับว่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานและสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมการเงินทั่วทั้งโลก โดยตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นไป เทคโนโลยี Cloud และ AI จะเข้ามามีบทบาทอย่างไรกับอุตสาหกรรมการเงินบ้าง เรามาวิเคราะห์ไปพร้อม ๆ กัน
ในวันนี้อุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายความไม่แน่นอนทั้งรูปแบบเก่าและใหม่ไปพร้อม ๆ กัน จากสถานการณ์โลกที่ผันผวนในช่วงระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ดิจิทัลเทคโนโลยีกลายเป็นกลไกสำคัญที่จะผลักดันอุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงได้ Digital Transformation จึงกลายเป็นประเด็นที่องค์กรธุรกิจภาคขนส่งและโลจิสติกส์จะต้องไม่มองข้าม ในทางกลับกันยิ่งต้องให้น้ำหนักและความสำคัญอย่างเท่าทวี เพราะภายใต้ความไม่แน่นอนเช่นนี้ องค์กรธุรกิจที่เตรียมความพร้อมมาอย่างดีเท่านั้นถึงจะชิงความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจได้ แนวโน้มสำคัญบางประการที่จะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์ในปี 2023 นี้จะเป็นอย่างไรต่อไป และ Digital Transformation จะมีบทบาทสำคัญที่จะเปลี่ยนเกมอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ได้มากน้อยเพียงใด มาหาคำตอบไปด้วยกัน
วันนี้ภาคอุตสาหกรรมการผลิต สามารถนำเทคโนโลยีเครือข่าย 5G มาอัปเกรดขีดความสามารถให้กับธุรกิจของตนเองได้อย่างน่าสนใจ เพราะการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพคือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจมีความเหนือชั้นและแตกต่าง รวมไปถึงยังเป็นสิ่งที่จะช่วยให้ภาคการผลิตก้าวสู่การเป็น Smart Manufacturing ได้อย่างสมบูรณ์ตามเป้าหมายที่วางไว้ อาจเรียกได้ว่า 5G เป็นกุญแจสำคัญที่จะไขสู่ประสิทธิภาพใหม่ของภาคอุตสาหกรรมการผลิตเลยทีเดียว ดังนั้นเรามาดูกันว่า บทบาทของ 5G จะช่วยสร้างการผลิตอัจฉริยะทั้งในวันนี้และในอนาคตข้างหน้าได้อย่างไรบ้าง
แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจโลกภาพรวมจะอยู่ในช่วงชะลอตัว แต่เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลาย ๆ ด้านกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ จุดนี้ทำให้ภาคอุตสาหกรรมค้าปลีกมองเห็นโอกาส จึงเร่งเครื่องเดินหน้าเพื่อขยายศักยภาพการเติบโตในธุรกิจทันที โดยมุ่งเน้นปรับตัวไปสู่ระบบ Supply Chain 4.0 และเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมค้าปลีกปรับตัวสู่ความเป็นธุรกิจดิจิทัลได้อย่างเต็มรูปแบบตามเป้าหมายก็คือ เทคโนโลยี 5G & Cloud ที่นับว่าเป็นโซลูชันสำคัญที่จะเข้ามาช่วยสร้างความแตกต่างอย่างเหนือชั้น เปลี่ยนทุกประสบการณ์ให้ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้นกว่าเดิม นับจากนี้ 5G & Cloud จะสามารถยกระดับอุตสาหกรรมค้าปลีกในแง่มุมไหนได้บ้าง มาติดตามกัน
พราะเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไว ทำให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ องค์กรชั้นแนวหน้าของโลกต่างปรับตัวและให้ความสำคัญมากกับกระบวนการ Digital Transformation เพราะยิ่งปรับตัวไปตามเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำได้เร็วแค่ไหน โอกาสที่จะรักษาตำแหน่งหรือก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจก็ยิ่งมากขึ้น จึงต้องกล่าวว่าความก้าวล้ำของดิจิทัลเทคโนโลยีมีความหมายอย่างมากต่อการวางกลยุทธ์ต่าง ๆ ขององค์กร ยิ่งเทคโนโลยีมีความสามารถมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งเป็นปัจจัยส่งให้องค์กรต้องเร่งปรับให้เร็วขึ้นด้วย การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิทัลที่กำลังล้ำหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ กำลังจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจในอนาคตอันใกล้นี้อย่างไร เรามาวิเคราะห์สถานการณ์ไปด้วยกัน
เมื่อวันนี้ทุกการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคล้วนคือข้อมูลที่ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมต่าง ๆ สามารถนำมาใช้เป็นฐานสำหรับการพัฒนาและขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้ แต่การที่ภาคธุรกิจจะสามารถใช้กลยุทธ์ Data Driven ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพก็จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องอาศัยดิจิทัลเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการจัดเก็บและวิเคราะห์ประมวลผล ดังนั้นการวางแผนเรื่อง Digital Transformation จึงจำเป็นอย่างมากต่อภาคธุรกิจอุตสาหกรรม เพื่อเป็นการวางรากฐานสำหรับการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูล และในขณะนี้องค์กรชั้นนำต่าง ๆ ทั่วโลกกำลังเร่งหาวิธีการที่จะเข้าใจถึง Insight ข้อมูลที่อยู่ในมือเหล่านั้นกันอย่างจริงจัง จากวันนี้ไปถึงปี 2025 แนวโน้มทิศทางการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูลจะเป็นอย่างไรกันบ้าง ลองมาวิเคราะห์ คาดการณ์ และร่วมมองไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเทคโนโลยีเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้ภาคธุรกิจมีศักยภาพและเติบโตไปอย่างก้าวกระโดดได้ และ Digital Transformation ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างศักยภาพใหม่ในธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคอุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing) ดิจิทัลเทคโนโลยีถือเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยเสริมสร้างและพัฒนาระบบการทำงานทั้งหมดให้เกิดความแตกต่างอย่างเหนือชั้น และทำให้ภาคอุตสาหกรรมการผลิตก้าวผ่านทุกความท้าทายได้ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมการผลิตในปีนี้จะมีอะไรบ้าง และผู้ประกอบการควรจะต้องโฟกัสสิ่งใด เป็นไปในทิศทางไหน มาพบคำตอบกัน
ในช่วงที่ผ่านมา Digital Transformation เป็นประเด็นที่องค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ต่าง ๆ ให้ความสนใจและตื่นตัวกันมาก แต่นอกจากเรื่องของเทคโนโลยีดิจิทัลที่นับเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของยุคนี้แล้ว เรื่องของ Sustainability หรือความยั่งยืน ก็เป็นเทรนด์หนึ่งที่องค์กรขนาดใหญ่ให้ความสำคัญ และในปี 2023 นี้ Sustainability จะยิ่งเป็นเรื่องสำคัญมากขึ้นในแง่ของการดำเนินธุรกิจ การจะตัดสินใจเลือกเทคโนโลยีใด หรือวางกลยุทธ์ใด ๆ เพื่อสร้างคุณค่าและมูลค่าให้กับองค์กรจะต้องดำเนินไปพร้อมกับแนวทางการสร้างความยั่งยืนด้วย แล้วแนวทางขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความดิจิทัลพร้อมกับความยั่งยืนควรจะต้องทำอย่างไรบ้าง มาติดตามกัน
ภาคธุรกิจและองค์กรขนาดใหญ่ในปัจจุบันได้มีการปรับรูปแบบการทำงานเป็นแบบ Hybrid กันมาสักระยะแล้ว ในช่วงที่ผ่านมาธุรกิจขนาดใหญ่และกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้มีการเร่งกระบวนการ Digital Transformation ในธุรกิจของตนเองกันมากขึ้น เพื่อให้การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้กับการดำเนินงานในส่วนต่าง ๆ ของธุรกิจนั้นมีศักยภาพ รวมถึงให้รองรับกับรูปแบบการทำงานแบบ Hybrid ของพนักงานมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ Cloud System ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญมากในเรื่องนี้ หลายองค์กรได้มีการเคลื่อนย้ายการเก็บข้อมูล รวมไปถึงการประมวลผลข้อมูลต่าง ๆ ที่สำคัญต่อธุรกิจไว้บน Cloud แทบทั้งหมด ทำให้เรื่องความปลอดภัยข้อมูลจึงกลายเป็นหนึ่งประเด็นสำคัญที่องค์กรขนาดใหญ่ต่าง ๆ ต้องนำมาพิจารณาก่อนการลงทุนในระยะต่าง ๆ ของธุรกิจด้วย ปัจจัยใดบ้างที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับความปลอดภัยข้อมูลและจะมีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจลงทุนของธุรกิจขนาดใหญ่ในเรื่องของ Cloud Security ในปี 2023 มาวิเคราะห์ไปพร้อมกัน
วันนี้อุตสาหกรรมต่าง ๆ ล้วนเข้าสู่กระบวนการ Digital Transformation ปรับเปลี่ยนตนเองให้ก้าวสู่การเป็นองค์กรดิจิทัล เพื่อให้องค์กรมีศักยภาพที่ทัดเทียมหรือเหนือกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่วันนี้โรงงานอุตสาหกรรมในระดับต่าง ๆ กำลังมุ่งเร่งทำ Digital Transformation เพื่อเปลี่ยนแปลงโรงงานและระบบการผลิตของตนไปสู่การเป็น Smart Manufacturing อย่างเต็มตัว โดยอาศัย 5G Solutions เข้ามาช่วยให้การบูรณาการเทคโนโลยีใหม่ ๆ เป็นไปอย่างราบรื่น และหนึ่งในเทคโนโลยีที่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตกำลังจับตามอง เนื่องจากในอีกไม่ช้าจะเข้ามามีบทบาทอย่างมากในอุตสาหกรรมการผลิตในทุกสาขา ก็คือ 3D Vision เทคโนโลยี 3D นี้จะช่วยยกระดับเพิ่มศักยภาพให้กับภาคการผลิตได้อย่างไรบ้างลองมาติดตามกัน
ต้องยอมรับว่าในวันนี้กระบวนการ Digital Transformation เป็นกระบวนการที่องค์กรชั้นนำต่างให้ความสำคัญ เพราะการจะนำธุรกิจเข้าสู่การแข่งขันในระบบเศรษฐกิจแบบดิจิทัลได้อย่างแข็งแกร่ง และรักษาตำแหน่งผู้นำในกลุ่มธุรกิจนั้น ๆ ได้อย่างยาวนาน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับเปลี่ยนให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างเต็มความสามารถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีเครือข่ายอันทรงพลังอย่าง 5G ที่เป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้อุตสาหกรรม 4.0 หรือ Smart Factory เกิดขึ้น เนื่องจาก IoT ในระบบการผลิตต่าง ๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยพลังการเชื่อมต่อแบบ 5G ที่ตอบสนองได้ดีทั้งในแง่ความรวดเร็ว ระยะการเชื่อมต่อที่กว้างไกล และยังเต็มไปด้วยความยืดหยุ่น
ในวันนี้เรื่องของการดำเนินธุรกิจและเรื่องของเทคโนโลยีได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันไปแล้ว โดยเฉพาะธุรกิจอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เทคโนโลยีดิจิทัลยิ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อศักยภาพการแข่งขัน โดยจะนำความสามารถของโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่มีมาเป็นฐานในการกำหนดกลยุทธ์เพื่อสร้างความแตกต่าง ดังจะเห็นได้ว่าปี 2022 ที่เพิ่งผ่านไปนั้น องค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ต่างมุ่งเน้นเรื่อง Digital Transformation กันเป็นอย่างมาก เพื่อเตรียมองค์กรให้พร้อมสำหรับความก้าวล้ำใหม่ ๆ ตลอดปี 2023 และปีถัด ๆไป เราจึงขอสรุปภาพรวม Digital Transformation 2022 ที่ธุรกิจขนาดใหญ่ให้ความสำคัญ อันจะเป็นสิ่งที่ช่วยบ่งชี้ว่าการแข่งขันในช่วงระยะ 2-10 ปีข้างหน้าควรโฟกัสไปที่อะไร เทคโนโลยีใดที่ควรให้ความสำคัญเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ
ในช่วงที่ผ่านมาหลาย ๆ องค์กรได้มีการกำหนดแผนงานในการทำ Digital Transformation องค์กรกันไว้ ซึ่งในบางองค์กรธุรกิจที่มีการเตรียมความพร้อมไว้ก่อนหน้ามาสักระยะใหญ่ ๆ การเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัลก็อาจจะราบรื่น แต่สำหรับบางองค์กรก็อาจจะพบอุปสรรค ทำให้การเปลี่ยนแปลงสัมฤทธิผลเพียงแค่ส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็ต้องค่อย ๆ ก้าวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ไม่ว่ากระบวนการ Digital Transformation ในธุรกิจของคุณจะสำเร็จลุล่วงหรือไม่ สิ่งสำคัญก็คือเวลาไม่เคยคอยท่า เราจึงจำเป็นที่จะต้องมองไปข้างหน้า แล้วก้าวเดินต่อไปให้ไว แนวโน้มทิศทางของเทคโนโลยีดิจิทัลที่จะมีอิทธิพลต่อการกำหนดกลยุทธ์การแข่งขันของอุตสาหกรรมสำคัญต่าง ๆ ในปี 2023 นี้และอาจจะส่งผลต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปีถัดไป จะมีอะไรบ้าง มาวิเคราะห์และร่วมมองไปข้างหน้าพร้อม ๆ กันเลย
ย่างเข้าปี 2023 ที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาอยู่ในสายตาผู้บริหาร และแผนการลงทุนขององค์กรต่างๆ เพิ่มโอกาสยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน และก้าวทันความท้าทายในสนามแข่งขันทางธุรกิจยิ่งขึ้น แต่เมื่อเจาะลึกลงไปที่โรดแมปขององค์กรในยุคที่ “ดิจิทัล” เข้ามามีบทบาทขับเคลื่อนแทบทุกกิจกรรมของกระบวนการทำงาน และเร่งสปีดการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ จะพบว่า “ดิจิทัล ทรานสฟอร์เมชัน” ยังเป็นเทรนด์เทคโนโลยี “ยืนหนึ่ง” ต่อเนื่องจากปีก่อนๆ ด้วยอานิสงค์ของความเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาใหม่ๆ ที่ไม่หยุดนิ่งของเทคโนโลยี และการขยายบทบาทครอบคลุมทุกส่วนของการปฏิบัติงาน ซัพพลายเชน จนถึงการตอบสนองโจทย์ความต้องการของลูกค้าปลายทาง ดังนั้นทุกองค์กรจำเป็นต้อง “ก้าวต่อไป” บนเส้นทางการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) และเกาะติดทุกวิวัฒนาการของเทคโนโลยีในกลุ่มนี้
รายงานคาดการณ์แนวโน้มด้านเทคโนโลยีจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลกของหลายแห่ง แทบเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ในปี 2023 การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีจะเกิดขึ้นในอัตราเร่ง (accelerating) ที่เพิ่มความเร็วจากยุคที่ผ่านมา และบริษัทต่างๆ จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่เพื่อวางรากฐานทางเทคโนโลยี เพื่อเตรียมพร้อมรับมือยุคดิจิทัล ที่เทคโนโลยีต่างๆ มาพร้อมกับพลังการประมวลผลที่แรงขึ้น แบนด์วิธสูงขึ้น และความสามารถด้านการวิเคราะห์ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยสิ่งเหล่านี้จะเข้ามามีบทบาทในการเพิ่มโอกาสใหม่สำหรับการพัฒนา นวัตกรรม ตลอดจนรูปแบบธุรกิจ และธุรกิจใหม่ๆ
เมื่อประเมินจากภาพรวมช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจต้องเผชิญหน้าความท้าทายใหญ่ๆ หลายครั้งจากความเปลี่ยนแปลงที่อยู่เหนือการคาดการณ์ และในบางสถานการณ์ ก็ยังคงไม่มีแนวโน้มว่าจะแผ่วลงโดยในปี 2023 ธุรกิจต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับโลกยุคหลังเจอแรงเหวี่ยงจากผลกระทบของสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด สงครามรัสเซีย-ยูเครน ความท้าทายทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการพัฒนาด้านเทคโนโลยีในระดับความเร็วอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
รายงาน Gartner Top 10 Strategic Technology Trends for 2023 ของการ์ทเนอร์ [1] คัดเลือกให้แพลตฟอร์มคลาวด์สำหรับอุตสาหกรรม (Industry cloud platform) เป็น 1 ใน 10 แนวโน้มเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ที่องค์กรต่างๆ ห้ามตกขบวนสำหรับการวางแผนลงทุนด้านไอทีในปี 2023 เพื่อปรับองค์กรให้ก้าวทันทุกความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ หนุนเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพ ในบริบทของการปรับรูปแบบกระบวนการทำงานสู่ดิจิทัล (Digital Transformation)
ปี 2022 นี้ที่แม้ว่าสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 นั้นดูจะบรรเทาลงไปแล้ว แต่ก็อาจถือว่าเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่การทำธุรกิจดำเนินไปได้ค่อนข้างยากลำบากพอสมควร ด้วยความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีท่าทีจะสิ้นสุด จนส่งผลกระทบให้เกิดวิกฤตมากมาย ทั้งเรื่องค่าเงิน พลังงาน และสภาพภูมิอากาศที่เกี่ยวพันกันไปทั้งหมด
Cyber Security หรือเรื่องการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์กำลังเป็นประเด็นร้อนที่องค์กรธุรกิจทั้งขนาดใหญ่ทั่วโลกกำลังจับตามอง เพราะอาชญากรไซเบอร์เริ่มมุ่งเป้ามาสร้างภัยร้ายทางไซเบอร์กับองค์กรขนาดใหญ่ต่าง ๆ ลุกลามไปจนถึงภาคอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ซึ่งความรุนแรงจากการคุกคามทางไซเบอร์อาจทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักจนสามารถกระทบกับระบบห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบได้เลยทีเดียว
หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า Telco Cloud ซึ่งเทคโนโลยี Cloud สำหรับอุตสาหกรรมโทรคมนาคมกันมาบ้างแล้ว แต่ในทุกวันนี้เมื่อเทคโนโลยี Cloud ได้มีวิวัฒนาการไปอย่างรวดเร็ว นิยามและขอบเขตความสามารถของ Telco Cloud เองก็ได้เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
Cloud นั้นได้กลายเป็นหนึ่งในระบบ IT Infrastructure หลักของธุรกิจองค์กรต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีแล้ว และแน่นอนว่าวงการ Cloud เองก็มีวิวัฒนาการใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นในเชิงของเทคโนโลยี, การบริการเชิงเทคนิค และรูปแบบในการให้บริการ Cloud
ในวันนี้เราอาจจะเริ่มคุ้นเคยกับว่า Cloud Computing กันมากขึ้นเพราะในภาคธุรกิจต่าง ๆ เริ่มปรับเปลี่ยนนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคอุตสาหกรรมการผลิต Cloud ถือเป็นศูนย์กลางสำคัญที่ทำให้เทคโนโลยี IIoT ในส่วนของเครื่องจักรการผลิตสามารถดำเนินงานไปได้แบบอัตโนมัติ แต่นอกจาก Cloud แล้วอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ถือว่ามีบทบาทและความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันในระบบการทำงานของภาคอุตสาหกรรมการผลิต เป็นส่วนที่จะเพิ่มศักยภาพเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมให้ไปสู่ Smart Manufacturing แบบสมบูรณ์ยิ่งขึ้นได้ก็คือ เทคโนโลยี Edge Computing แล้วผู้ประกอบการจำเป็นที่จะต้องลงทุนในเทคโนโลยีนี้หรือไม่ เทคโนโลยีนี้จะเข้ามาช่วยภาคการผลิตในเรื่องใดได้บ้าง มาพบคำตอบกัน
ปัจจุบันอุตสาหกรรมการผลิตเข้าสู่ยุค Internet of Things หรือเทคโนโลยี IoT กันแล้ว จุดสำคัญที่น่าสนใจไม่ใช่แค่เพียงเทคโนโลยี IoT ที่ติดตั้งอยู่บนอุปกรณ์ต่าง ๆ ในระบบการผลิตเท่านั้น แต่เบื้องหลังที่เป็นเทคโนโลยีอันเป็นศูนย์กลางสำคัญในการเชื่อมต่อ เก็บข้อมูล และประมวลผลข้อมูลที่ส่งมาจากอุปกรณ์ IoT ต่าง ๆ อย่างเทคโนโลยี Cloud ก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการผลิตส่วนใหญ่รู้จักกับเทคโนโลยี Cloud กันมาสักระยะหนึ่งแล้ว บางส่วนก็อาจเริ่มนำมาปรับใช้กับธุรกิจ แต่ก็มีอีกหลายองค์กรที่มองเห็นประโยชน์และรับรู้ถึงคุณค่าของเทคโนโลยีนี้ว่า จะเข้ามาช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับธุรกิจช่วยยกระดับอุตสาหกรรมให้ไปสู่ Smart Manufacturingได้ เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นวางแผนย้ายระบบการทำงานแบบเดิมไปสู่ระบบ Cloud อย่างไร ถึงจะเกิดความคุ้มค่าเหมาะสม คำแนะนำในเรื่องนี้ก็คือ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ Edge Computing ได้มีบทบาทเป็นอย่างมากในฐานะของสถาปัตยกรรมที่เข้ามาเติมเต็มความสามารถของบริการ Cloud ให้การจัดเก็บ วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลทั้งในรูปแบบของ Data Analytics และ AI เป็นจริงขึ้นมาได้ด้วย Latency ที่ต่ำ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเทคโนโลยี 5G เป็นสิ่งที่ทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีและนวัตกรรมเปลี่ยนโลกอีกมากมาย อาจเรียกได้ว่า 5G เป็นตัวแปรสำคัญในการดำเนินธุรกิจในวันนี้ไปแล้ว แต่เชื่อเหลือเกินว่าองค์กร Enterprises จำนวนไม่น้อย มีความเข้าใจต่อเทคโนโลยี 5G เพียงแค่ว่ามอบความเร็วในการเชื่อมต่อที่มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังไม่เข้าใจในเชิงลึกว่า 5G จะมีบทบาทและสามารถนำมาสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจระดับ Enterprises ได้อย่างไร ลองมาทำความเข้าใจในประสิทธิภาพรวมถึงบทบาทที่สำคัญที่จะมีต่อภาคธุรกิจอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของ 5G ไปพร้อม ๆ กันเลย
ขณะที่ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไทยกำลังเร่งปรับตัวไปสู่ก้าวแรกของการเป็นอุตสาหกรรม 4.0 ในหลายประเทศที่เป็นผู้นำด้านทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมก็ผลักดันอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศของตนให้ขยับไปอีกขั้น โดยใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วย เพื่อเปลี่ยนแปลงธุรกิจอุตสาหกรรมในประเทศให้เป็น Smart Manufacturing ซึ่งก็คือการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้กับระบบนิเวศการผลิตทั้งหมดในองค์กร เพื่อการทำงานที่ราบรื่นและการตัดสินใจทางธุรกิจที่รวดเร็วมากขึ้น ซึ่งดูเหมือนว่าการผลิตอัจฉริยะนี้กำลังเป็นแนวโน้มใหม่ที่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตทั่วโลกกำลังจะมุ่งไป จึงน่าสนใจว่าถ้าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้อุตสาหกรรมการผลิตทั่วโลกเปลี่ยนแปลงไปสู่ Smart Manufacturing กันเกือบทั้งหมด โฉมหน้าของธุรกิจการผลิตจะเป็นอย่างไร
เมื่อกระแสเศรษฐกิจโลกในวันนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล การดำเนินธุรกิจในวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ผ่านมาอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว เป็นสิ่งที่เร่งให้องค์กรต่าง ๆ ต้องให้ความสำคัญกับ Digital Transformation เพราะหากองค์กรไม่ก้าวสู่ความเป็นดิจิทัลก็จะก้าวไม่ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคในวันนี้ ที่ผ่านมาองค์กรชั้นนำต่างจับตามองในเรื่องของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทุกการเคลื่อนไหวของผู้บริโภคคือข้อมูลที่ภาคธุรกิจนำมาใช้ประโยชน์ได้ ยิ่งองค์กรไหนมีข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคในระดับ Big Data ยิ่งมีความได้เปรียบในเชิงธุรกิจมากขึ้น
ในภาคอุตสาหกรรม สิ่งสำคัญที่คำนึงถึง จะเป็นเรื่องของ การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ความยืดหยุ่น และคล่องตัว เทคโนโลยีคลาวด์ (Cloud Technology) จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะเข้ามาตอบสนองความต้องการในยุควิกฤตทางเศรษฐกิจ อย่างเช่นในปัจจุบันนี้ สภาวะโรคระบาดจากเชื้อไวรัส COVID-19 ได้ทำให้ธุรกิจส่วนใหญ่เปลี่ยนแปลงไป และเริ่มสนใจเปลี่ยนมาใช้งานระบบคลาวด์มากขึ้น จากแนวคิดในการใช้งานเครื่องมือ หรือบริการที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นบนระบบคลาวด์ จะสามารถตอบสนองความต้องการของธุรกิจ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ภาคธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันกำลังเผชิญความท้าทายจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของอีคอมเมิร์ซ ที่เปิดฉากการแข่งขันด้วยการมอบประสบการณ์ที่แตกต่างไปในการซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์ นั่นทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมค้าปลีกพยายามเร่งปรับตัวให้ทันต่อเทรนด์การจับจ่ายซื้อสินค้าของผู้บริโภคในวันนี้ กลยุทธ์หนึ่งที่ทางผู้ประกอบการอุตสาหกรรมค้าปลีกเลือกที่จะนำมาใช้ก็คือ การมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าด้วยประสิทธิภาพและความทันสมัยของเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ยิ่งในขณะนี้เทคโนโลยีเครือข่ายอัจฉริยะอย่าง 5G ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลไกสำคัญในการยกระดับธุรกิจทั่วโลกแล้ว ยิ่งสะท้อนว่า 5G เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจเกิดความแตกต่างและมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งขัน แต่ปัญหาก็คือ ผู้ประกอบการภาคธุรกิจค้าปลีกจำนวนมากยังไม่ทราบว่าควรจะประยุกต์ใช้พลังของ 5G ไปใช้สร้างประสบการณ์ใหม่กับลูกค้าในธุรกิจได้อย่างไร ครั้งนี้จึงมีแนวทางในเรื่องนี้มามอบให้กับท่านผู้ประกอบการ
อุตสาหกรรม 4.0 นั้นไม่เพียงแต่จะเป็นแนวคิดในการบูรณาการเทคโนโลยีอันทันสมัยเข้ามาช่วยบริหารจัดการวงจรการผลิตของอุตสาหกรรมให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว และต้นทุนธุรกิจได้เท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ระบบการทำงานทุกส่วนของภาคอุตสาหกรรมการผลิตมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นด้วย อย่างการนำเทคโนโลยี IIoT (Industrial Internet of Things) เข้ามาช่วยยกระดับความปลอดภัยในอุตสาหกรรมการผลิต แม้ว่าระบบเดิมจะมีความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานอยู่แล้ว แต่การนำความสามารถใหม่ ๆ ของ IIoT เข้ามาช่วยอีก ก็ย่อมจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพเรื่องความปลอดภัยอันจะทำให้ผู้ปฏิบัติงานได้รับความปลอดภัยที่มากขึ้น เมื่อผู้ปฏิบัติงานและระบบการผลิตทั้งหมดปลอดภัย ดำเนินงานได้อย่างราบรื่น ผู้ประกอบการย่อมได้รับประโยชน์สูงสุด แล้วเทคโนโลยี IIoT จะช่วยยกระดับความปลอดภัยได้อย่างไรบ้าง
ในปี 2022 นี้ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมต่าง ๆ ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน และยังมีเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับธุรกิจอุตสาหกรรม รวมไปถึงกระบวนการ Digital Transformation ที่จะต้องเกิดขึ้นในทุก ๆ องค์กรธุรกิจไม่ช้าก็เร็ว โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนระบบซัพพลายเชน ในวันนี้เทรนด์ของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์กำลังมุ่งหน้าสู่การเปลี่ยนแปลงจาก Logistics 4.0 ไปเป็น Logistics 5.0 อันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมโลจิสติกส์มีประสิทธิภาพและมีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น แต่ก้าวแรกที่จะทำให้การปฏิวัติความก้าวหน้าเพื่อเปลี่ยนผ่านยุคสมัยในอุตสาหกรรมนี้เป็นไปอย่างราบรื่นก็คือกระบวนการ Digital Transformation ที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
เมื่อโลกกำลังปรับเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลแบบเต็มรูปแบบ จากปัจจัยรอบด้านที่กำลังเป็นตัวเร่งให้ทุกภาคส่วนต้องมีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง จึงทำให้ภาคธุรกิจและองค์กรทุกขนาดจำเป็นที่จะต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล หรือ Digital Transformation เพื่อให้ธุรกิจและองค์กรของตนเองสามารถที่จะยืนหยัดต่อสู้แข่งขันและก้าวต่อไปสู่อนาคตได้อย่างมั่นคง ในขณะที่โลกกำลังมุ่งไปสู่ความดิจิทัล ในอีกด้านหนึ่งที่ผู้คนมักมองข้ามไปก็คือ “ภัยคุกคามทางไซเบอร์” ที่ดูเหมือนว่ายิ่งเทคโนโลยีมีความสามารถมากขึ้นเท่าไหร่ อาชญากรรมไซเบอร์ก็ดูจะทวีความซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้นเป็นเงาตามตัว สิ่งที่องค์กรต่าง ๆ ควรจะต้องให้ความสำคัญก็คือ Ransomware Attack หรือมัลแวร์เรียกค่าไถ่ที่นับวันยิ่งมีความน่ากลัวมากขึ้น นั่นทำให้องค์กรขนาดใหญ่ต่าง ๆ พยายามหาทางรับมือกับ Ransomware โดย Digital Transformation ถือเป็นก้าวแรกที่จะทำให้องค์กรสามารถต่อกรและรับมือกับ Ransomware ได้อย่างมั่นใจ
หลังจากที่ทุกโรงพยาบาลต่างต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส และให้บริการด้านการฉีดวัคซีนแก่ผู้คนทั่วโลก พร้อมทั้งมีการประยุกต์นำเทคโนโลยีที่หลากหลายมาใช้ภายในโรงพยาบาล และมีการปรับกระบวนการการให้บริการผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นไปแล้ว ในปี 2022 นี้ก็ถือเป็นปีที่วงการสาธารณสุขทั่วโลกกำลังจะมีการปรับตัวกันครั้งใหญ่ สู่การนำเทคโนโลยีมาผสานเพื่อรักษาผู้ป่วยกันอย่างเต็มตัวมากยิ่งขึ้น
ในวันนี้ Internet of Things (IoT) กลายเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความได้เปรียบในธุรกิจอุตสาหกรรมไปแล้ว หากภาคธุรกิจอุตสาหกรรมไม่สามารถที่จะนำองค์กรผ่านกระบวนการ Digital Transformation ได้สำเร็จ ธุรกิจก็จะขาดความยืดหยุ่นและเป็นอุปสรรคต่อการปรับตัว อีกทั้งจะไม่สามารถใช้ประโยชน์จาก IoT และเทคโนโลยีดิจิทัลอื่น ๆ เพื่อยกระดับองค์กรได้อย่างเต็มที่ การต่อยอดธุรกิจจากนวัตกรรมเดิมหรือสร้างนวัตกรรมใหม่บนเทคโนโลยี IoT นั้น ในปัจจุบันองค์กรชั้นนำของโลกหลายองค์กรได้พัฒนาไปถึงขั้นนำเทคโนโลยีที่เรียกว่า Digital Twins หรือ “คู่แฝดดิจิทัล” มาใช้กันแล้ว ไม่เพียงแค่นำมาใช้ แต่องค์กรต่าง ๆ ยังเชื่อกันว่า เทคโนโลยีนี้จะเป็นอนาคตของโลกธุรกิจอุตสาหกรรมในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าด้วย แท้ที่จริงแล้ว Digital Twins คืออะไรกันแน่ มาพบคำตอบกัน
สถานการณ์โควิด 19 เริ่มคลี่คลายในหลาย ๆ ประเทศ ถึงแม้การระบาดจะยังคงมีอยู่ แต่ผู้คนเริ่มปรับตัวและเลือกที่จะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติมากขึ้น นั่นทำให้ในมิติทางเศรษฐกิจเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว แต่จะฟื้นตัวมากน้อยอย่างไร และช้าเร็วแค่ไหนก็ยังไม่มีใครที่จะสามารถให้คำตอบที่แน่ชัดได้ นั่นทำให้ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมและองค์กรต่าง ๆ ยังคงไม่แน่ใจว่านับจากจุดนี้ไปจะขับเคลื่อนธุรกิจไปในทิศทางไหน บางองค์กรเริ่มต้นกระบวนการ Digital Transformation ไปบ้างแล้วในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ยังเป็นการปรับเปลี่ยนไม่เต็มรูปแบบ ภายใต้ภาวะที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ องค์กรควรเลือกอะไรระหว่าง Move On เดินหน้าไปต่อกับกระบวนการ Digital Transformation เพื่อให้องค์กรก้าวสู่ความเป็นดิจิทัลเต็มรูปแบบ หรือ ควรจะ Break เพื่อชะลอการลงทุน รอให้ทิศทางของสถานการณ์ต่าง ๆ มีความชัดเจนมากกว่านี้ก่อน บทความนี้จะมีคำตอบให้คุณ
Industrial IoT หรือ IIoT ถือเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญในระบบอุตสาหกรรม 4.0 เพราะเป็นสิ่งที่จะช่วยเชื่อมโยงเครื่องจักรการผลิต เทคโนโลยีไอที และทรัพยากรบุคคลเข้าไว้ด้วยกัน ให้ทั้งหมดสามารถทำงานประสานกันได้อย่างลงตัวและเป็นหนึ่งเดียว จุดนี้ถือเป็นภาพกว้าง ๆ ของ IIoT ที่ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมพอจะมองออกกันอยู่แล้ว แต่หากจะมองข้อดีหรือประโยชน์ของ IIoT ที่มีต่อธุรกิจอุตสาหกรรมในเชิงลึกแล้ว เทคโนโลยีนี้จะมีความพิเศษอย่างไร และจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ภาคอุตสาหกรรมการผลิตได้อย่างไรบ้าง ครั้งนี้จะมาเผย 7 ข้อดีของ IIoT ที่มีต่ออุตสาหกรรมการผลิตให้ทุกท่านได้ทราบกัน
โลกธุรกิจในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลนั้นมีอุปสรรคและความท้าทายใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา องค์กรธุรกิจใดตัดสินใจช้าไปเพียงเสี้ยวนาที ก็อาจพลาดโอกาสสำคัญที่จะขึ้นเป็นผู้นำในตลาดไปได้เลยทันที องค์กรธุรกิจส่วนใหญ่ต่างทราบว่า Digital Transformation เป็นเรื่องสำคัญและควรจะต้องทำ แต่ก็ไม่กล้าตัดสินใจที่จะลงทุนในเรื่องนี้ เพราะไม่ชัดเจนว่ากระบวนการนี้จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตหรือสร้างความเปลี่ยนแปลงได้มากน้อยเพียงใด ข้อมูลจากบทความนี้อาจช่วยเปลี่ยนมุมมองและสร้างความมั่นใจต่อการตัดสินใจทำ Digital Transformation เพื่อยกระดับธุรกิจของคุณ
Metaverse ได้กลายเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกจับตามองโดยเหล่าธุรกิจองค์กรทั่วโลกเป็นอย่างมากในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน หลังจากที่ Facebook ได้ออกมาประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta และเผยวิสัยทัศน์ว่า Metaverse นั้นจะเป็นอนาคตของโลกออนไลน์ ทำให้ธุรกิจทั่วโลกต่างรีบคว้าโอกาสในโลก Metaverse กันอย่างรวดเร็วด้วยการพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งในส่วนของ AR/VR, 3D, Web 3.0 และ Blockchain กันออกมาอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของ Statista [1] ระบุว่าในการสำรวจบนโลกออนไลน์ พบว่าผู้คนสนใจที่จะเข้าร่วมใน Metaverse ด้วยหลากหลายเหตุผล โดยคำตอบที่ได้รับการเลือกมากที่สุดนั้นก็คือ การก้าวข้ามอุปสรรคที่ต้องเผชิญในชีวิตจริงอย่างเช่นความพิการ (39%), การเปิดโอกาสสู่การสร้างสรรค์และจินตนาการรูปแบบใหม่ๆ (37%), การท่องเที่ยวโดยไม่ต้องเดินทาง (37%), การสร้างทักษะทางด้านเทคโนโลยีและเรียนรู้สิ่งต่างๆ (34%) และการสร้างโอกาสใหม่ๆ ในด้านอาชีพและการทำงาน (30%) แต่ท่ามกลางกระแสที่กำลังร้อนแรงอยู่นี้ ธุรกิจองค์กรไทยจะนำ Metaverse มาใช้งานได้อย่างไรบ้าง? ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับแนวทางที่เป็นไปได้ในการนำ Metaverse มาประยุกต์ใช้งานกันดังนี้ครับ
องค์กรธุรกิจจำนวนมากพยายามที่จะนำ Digital Transformation มาใช้เพื่อเป็นกลยุทธ์สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เพราะเมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป มีความต้องการที่มากขึ้นและซับซ้อนขึ้น การใช้เทคโนโลยีเข้ามาตอบสนองความต้องการหรือใช้สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภคจึงน่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด ดังนั้น Digital Transformation จึงไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงทั่วไป แต่จัดว่าเป็นกลยุทธ์จำเป็นแห่งยุคสมัย นั่นทำให้แนวทางนี้ได้รับความสนใจจากองค์กรชั้นนำต่าง ๆ
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากเทคโนโลยีที่น่าตื่นเต้นมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการเอาชีวิตรอดสำหรับธุรกิจทั่วโลก ซึ่งมีการศึกษาของ ESI ThoughtLab องค์กรวิจัยด้านเศรษฐกิจการเงิน และเทคโนโลยีที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ เผยข้อมูลการสำรวจผู้บริหารระดับสูง 1,200 คนทั่วโลก รวมถึงผู้บริหารมากกว่า 370 คนจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) ได้สะท้อนความเข้าใจว่า AI ถูกนำไปใช้ในโลกที่ไม่แน่นอนนี้จะมีเพิ่มมากขึ้นอย่างไร โดยผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าทำไมองค์กรถึงต้องจัดลำดับความสำคัญและขยายขอบเขตการประยุกต์ใช้ AIภายในอุตสาหกรรมต่างๆ ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ให้มากยิ่งขึ้น โดยผู้ตอบแบบสำรวจ 71% มองว่า AI เป็นส่วนประกอบสำคัญที่จะประสบความสำเร็จทางธุรกิจ และประมาณ 45% พิจารณาว่าตนเองอยู่ในหมวดผู้นำหรือผู้ก้าวหน้า ซึ่งชี้ให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตอย่างยั่งยืนของการนำ AI มาใช้ในภูมิภาคนี้
ความท้าทายของโลกเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงในทุกวินาที จะส่งผลให้เกิดได้ทั้งโอกาสและความเสี่ยงในมิติของประสิทธิภาพที่สะท้อนไปสู่ความสามารถของการแข่งขันทางธุรกิจ และการที่ซีอีโอจะสามารถนำพาองค์กรให้มีความโดดเด่นด้านเทคโนโลยีได้นั้น จำเป็นต้องมีการทำ Digital Transform ให้สำเร็จ ซึ่งเส้นทางดังกล่าวต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่างที่สำคัญ แต่เคล็ดลับของความสำเร็จที่ผู้นำองค์กรเลือกใช้ในการเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงนั้น พบว่าส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวของวิธีการทำงานแบบดิจิทัลที่ครอบคลุมความคิดรอบด้านอย่างรู้เท่าทัน
การนำกระบวนการ Digital Transformation เข้ามาปรับใช้กับอุตสาหกรรมการเกษตรเพื่อเปลี่ยนให้เป็น “เกษตรดิจิทัล” กำลังเป็นสิ่งที่ทั่วโลกให้ความสนใจ เมื่อมองในภาพใหญ่มีการคาดการณ์ไว้ว่าเมื่อถึงปี 2050 ประชากรโลกจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 9.7 พันล้านคน จำนวนประชากรโลกที่มากขึ้นย่อมทำให้ความต้องการอาหารและที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้น และเมื่อมองภาพเล็กลงมาในระดับสังคมก็จะเห็นว่าทั่วโลกและประเทศไทยเองมีแนวโน้มที่สังคมเมืองจะขยายตัวมากขึ้น นั่นทำให้พื้นที่ทางการเกษตรมีจำนวนลดลงไปพร้อม ๆ กับการลดลงของจำนวนผู้ประกอบอาชีพเกษตรกร อีกทั้งวิกฤตการณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและปัจจัยด้านต้นทุนในการดูแลพืชก็เพิ่มสูงขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมการเกษตรกำลังเผชิญกับความท้าทาย Digital Transformation จะมีบทบาทหรือส่วนช่วยอย่างไรในอุตสาหกรรมการเกษตรกันบ้าง มาติดตามกัน
ปัจจุบันธุรกิจองค์กรไทยหลายแห่งนั้นก็ได้เริ่มดำเนินกลยุทธ์และโครงการด้านการทำ Digital Transformation กันไปไม่น้อยแล้ว แต่โจทย์หนึ่งซึ่งยังคงเป็นประเด็นสำคัญต่อธุรกิจหลายๆ แห่งอยู่นั้นก็คือคำถามด้านการวัดผลความสำเร็จในการทำ Digital Transformation ว่าควรจะวัดผลอย่างไร?
ในยุคที่โลกทั้งใบถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล องค์กรธุรกิจต้องเผชิญโจทย์บังคับให้ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองสู่กระบวนการทำงานรูปแบบดิจิทัล (Digital Transformation) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ต้องทุ่มเททรัพยากร “ลงทุน” และแปลงผลลัพธ์จากการลงทุนนั้นสู่การสร้าง “มูลค่า” ให้กับข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์ เพื่อให้องค์กรเข้าใจข้อมูลเชิงลึก (Insight) และมี Information ในการจะเปลี่ยนแปลงธุรกิจได้ เพื่อให้ก้าวทันกระแส Technology Disruption และความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมลูกค้าที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
ในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มเคยชินกับความสะดวกสบาย และความรวดเร็วในการได้รับบริการ หรือเข้าถึงทุกสิ่งที่ต้องการได้แค่คลิกเดียว ผ่านช่องทางออนไลน์/โซเชียลมีเดีย ที่มีให้เลือกหลากหลายแพลตฟอร์ม จึงเป็น “แรงส่ง” ที่ทรงพลังให้กับการเติบโตของวิวัฒนาการทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า On-Demand Economy ซึ่งเป็นเทรนด์เศรษฐกิจที่เรียกได้ว่า เกิดขึ้นจากความล้ำหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างแท้จริง
วันนี้ผู้คนสามารถปรับตัวกับชีวิตวิถีใหม่ภายใต้สถานการณ์โควิด 19 กันได้ดีมากขึ้น หลายสิ่งหลายอย่างที่เคยเป็น New Normal ได้กลายเป็น Now Normal ในขณะนี้ ทุกภาคส่วนพยายามปรับตัวโดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลออนไลน์เข้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์กับชีวิตในทุก ๆ แง่มุม เพื่อให้ชีวิตดำเนินต่อไปในภาวะที่โลกมีความผันผวนสูงเช่นนี้ นั่นจึงทำให้ผู้คนกับเทคโนโลยีมีการหลอมรวมกันอย่างแนบแน่นมากขึ้น เกิดประสบการณ์ใหม่ที่อยู่บนฐานของความเป็นดิจิทัลออนไลน์มากขึ้น และดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้จะดำเนินไปอย่างไม่มีทางที่จะหวนกลับไปเป็นแบบก่อนหน้าที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 อีกแล้ว
ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน (Disruption) จากอิทธิพลของทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นให้เลือกใช้งานหลากหลายรอบตัว และการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่อย่างโควิด-19 ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนมาถึงมิติของการทำงานและการดำเนินธุรกิจ องค์กรธุรกิจที่เคยเตรียมกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) แบบค่อยเป็นค่อยไปในลักษณะโครงการริเริ่ม อาจต้องกลับมาทบทวนแผนงานเพื่อคิดใหม่ ทำใหม่
การนำ 5G มาใช้ในเชิงธุรกิจนั้นกำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากองค์กรธุรกิจไทยและทั่วโลก เนื่องจาก 5G จะสามารถนำมาใช้สร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้กับธุรกิจได้อย่างหลากหลาย อีกทั้งยังเป็นสื่อกลางในการส่งมอบประสบการณ์แก่ลูกค้าในรูปแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในภาคธุรกิจได้เป็นอย่างดี
อุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing) ทั่วโลก กำลังเผชิญความท้าทายสำคัญในการ “เร่งความเร็ว” ยกระดับสู่การเป็น Smart Manufacturing ที่สามารถเกาะติดเทรนด์การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) เพื่อรับมือแรงกดดันภายใต้บริบทโลกใหม่ หลังจากช่วง 2 ปีที่ผ่านมาถูกผลักเข้าสู่กระแส New Normal ที่แทบทุกกิจกรรมถูกจัดระเบียบด้วยมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) มีความจำเป็นในการนำเทคโนโลยีมาใช้ควบคู่กับการทำงานรูปแบบเดิมๆ มากขึ้น เพื่อสนับสนุนการทำงานระยะไกล (Remote Working)
จากปัจจัยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี บวกกับปัจจัยที่เข้ามากระตุ้นให้จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอย่างโควิด 19 ทำให้องค์กรธุรกิจขนาดใหญ่จำนวนมาก ต่างกำลังเร่งเปลี่ยนแปลงทุกองค์ประกอบทั้งหมดขององค์กรให้ไปสู่ความเป็นดิจิทัลอย่างแท้จริง เพื่อให้ธุรกิจสามารถที่จะปรับตัวและก้าวทันต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว อันจะช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นคงไม่ว่าจะมีสถานการณ์วิกฤตใด ๆ เกิดขึ้นอีกหรือไม่ก็ตาม
หลายปีที่ผ่านมานี้ Cloud ได้กลายเป็นเทรนด์หลักของเทคโนโลยีที่ทุกธุรกิจต้องเปิดรับและนำไปใช้งานเพื่อสร้างโอกาสและความเป็นไปได้ใหม่ๆ ส่งผลให้การย้ายระบบขึ้นสู่ Cloud นั้นเกิดขึ้นในแทบทุกองค์กรธุรกิจอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด
ก้าวเข้าสู่ปี 2022 เรื่องของเทคโนโลยีดิจิทัลก็ยังคงเป็นประเด็นที่องค์กรธุรกิจระดับโลกจับตามองและให้ความสำคัญ เพราะทุกองค์กรชั้นนำต่างทราบดีว่าสิ่งนี้ก็คือกุญแจสำคัญของความสำเร็จในธุรกิจอุตสาหกรรมในยุคนี้ ในปีที่ผ่านมาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ที่ถูกพูดถึงมากก็คงจะหนีไม้พ้นเรื่องของ Metaverse แต่เทคโนโลยีที่จะเป็นเบื้องหลังสำคัญในการขับเคลื่อนก็คือส่วนของปัญญาประดิษฐ์หรือ AI (Artificial Intelligence) เรื่องของ AI จึงเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่องค์กรชั้นนำให้ความสนใจเพราะเชื่อว่าเทคโนโลยี AI จะมีการก้าวล้ำและพัฒนาไปจากเดิมมากขึ้น แนวโน้มและทิศทางพัฒนาการของเทคโนโลยี AI ในปี 2022 นี้จะเป็นอย่างไร และองค์กรจะสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจอุตสาหกรรมแบบไหนได้บ้าง มาติดตามไปพร้อมกัน
ในสถานการณ์โรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้น ธุรกิจจำนวนมากเกิดการปรับตัว (และส่วนมากประสบผลสำเร็จ) ในการปรับใช้รูปแบบการทำงานแบบใหม่ ซึ่งรวมถึงการปรับใช้ระบบดิจิทัล และการปรับเปลี่ยนการบริหารองค์กร และห่วงโซ่อุปทานในรูปแบบใหม่ แต่เพียงเท่านั้นคงยังไม่เพียงพอ ผู้นำองค์กรยังต้องการ การเตรียมตัวสำหรับโลกในยุคหลังโควิด-19 อีกด้วย ไม่ใช่เพียงแค่ปรับปรุงการดำเนินงานประจำวันเท่านั้น แต่ยังต้องมีความพร้อมและความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะ "คิดใหม่" ในการดำเนินงาน และความหมายในการดำรงอยู่ขององค์กร เสมือนการถอยหลังออกมา 1 ก้าว แล้วมององค์กรของตนในวิสัยทัศน์ที่ต่างออกไป
ในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ถือเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมการแพทย์และสาธารณสุขนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จากการมาของภัยโรคระบาดอย่างโควิด-19 ที่ทำให้อุตสาหกรรมนี้ต่างต้องเร่งปรับตัวรับมือกันอย่างกระทันหัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อรองรับการรักษาโรคด้วยแนวทางใหม่ๆ ที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เราต่างทราบกันดีว่าโควิด 19 เป็นอุปสรรคที่ท้าทายอย่างมากสำหรับการปรับตัวเพื่ออยู่รอดของภาคธุรกิจอุตสาหกรรม ในความท้าทายนั้นก็เผยให้เราทุกคนได้เห็นว่าองค์กรธุรกิจที่สามารถยืนหยัดรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ นั่นเพราะพวกเขามองไปข้างหน้าและเลือกที่จะนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาปรับใช้กับการดำเนินธุรกิจของตนเองตั้งแต่ก่อนวิกฤตจะเกิดขึ้น พวกเขาเฝ้าติดตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและต่างเชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีไอที จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะพลิกโฉมโลกธุรกิจอุตสาหกรรมไปอย่างสิ้นเชิง รวมถึงจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดได้หากเกิดวิกฤตขึ้น
สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่ยืดเยื้อมาจนย่างเข้าปีที่ 3 ได้ตอกย้ำบริบทใหม่ของการดำเนินธุรกิจยุคชีวิตวิถีใหม่ ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงจาก “New Normal Disruption” ที่จะเข้ามาผสานอยู่ในทุกมิติของการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) ใช้ประโยชน์จากศักยภาพของนวัตกรรมและเทคโนโลยี ติดปีกความสามารถในการแข่งขัน เพื่อเร่งเครื่องการเติบโตอย่างมั่นคงให้กับธุรกิจ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโลกในยุคปัจจุบันขับเคลื่อนไปได้ด้วยเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีไอทีที่ส่งผลต่อการเติบโตและการอยู่รอดของภาคธุรกิจองค์กร วันนี้โลกดูจะหมุนเร็วขึ้น พฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลงเร็ว ยิ่งโลกมีสถานการณ์โควิด 19 มาเป็นตัวเร่ง ยิ่งทำให้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตผู้คน จนกระทั่งถึงการสร้างเทรนด์ใหม่ที่เปลี่ยนแปลงธุรกิจทั่วโลกได้เลย องค์กรใดที่ตอนนี้กำลังมองทิศทางการลงทุนในเรื่องเทคโนโลยีสำหรับอนาคตข้างหน้า ลองมาดูกันดีกว่าว่า 5 เมกะเทรนด์เทคโนโลยีด้านไอทีที่น่าจะเกิดขึ้นภายในปี 2025 จะมีอะไรกันบ้าง
สามารถติดต่อผู้เชี่ยวชาญจาก AIS Business เพื่อให้คำปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล
สำหรับรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจได้ทันที